แค่ดื่มกาแฟ Hillkoff ก็ช่วยลดโลกร้อนได้นะ

Last updated: 23 มี.ค. 2567  |  3084 จำนวนผู้เข้าชม  | 

แค่ดื่มกาแฟ Hillkoff ก็ช่วยลดโลกร้อนได้นะ

แค่ดื่มกาแฟ Hillkoff ก็ช่วยลดโลกร้อนได้นะ

            รู้ไหมคะ? ว่าในการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้นไม่ว่าจะเดินทางไปทำงาน ทานข้าว เที่ยว ดูหนัง และกิจกรรมอื่นๆอีกมากมายนั้น ในทุกๆการทำกิจกรรมที่เราทำ มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่ว่าจะทั้งทางตรง เช่น การขับรถ การเผาขยะ หรือทางอ้อม เช่น การทานอาหาร การใช้ผลิตภัณฑ์อื่นๆ เป็นต้น ซึ่งในแต่ละกิจกรรมก็มีปริมาณก๊าซเรือนกระจกที่ถูกปล่อยออกไปแตกต่างกัน และเมื่อก๊าซเรือนกระจกมากขึ้น ก็เกิดภาวะโลกร้อน ซึ่งในปัจจุบันเริ่มส่งผลกระทบที่ทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะทั้งสภาพอากาศที่แปรปรวน อากาศที่ร้อนมากขึ้น ปัญหา PM 2.5 และอื่นๆที่ตามมา ซึ่งหากปล่อยไว้ก็จะเกิดผลกระทบที่ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นในอนาคต Carbon Footprint ( คาร์บอนฟุตพริ้นท์ ) คือ ปริมาณการปล่อยและดูดซับแก๊สเรือนกระจก ที่ถูกปล่อยออกมาจากผลิตภัณฑ์ วงจรชีวิตของสัตว์ หรือกิจกรรมการดำเนินการของธุรกิจและองค์กร โดยมีค่าวัดรวมอยู่ที่ตัน ( กิโลกรัม ) 

            รู้หรือไม่ว่าการดื่มกาแฟของเรานั้น 1 แก้ว ก็ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศนะ แล้วปล่อยยังไง เยอะแค่ไหนไปดูเลยค่า 

            กว่าจะออกมาเป็นกาแฟให้เราดื่มใน 1 แก้ว ต้องผ่านกระบวนการผลิตที่หลายขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นการปลูก การดูแล ซึ่งในกระบวนการนี้ก็ต้องใช้น้ำจำนวนมาก หรือบางที่ใช้ปุ๋ยเคมี ที่ก่อให้เกิดก๊าซเรือนกระจก ต่อมาทั้งกระบวนการผลิต การขนส่งก็ก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ถือว่ามากทีเดียวค่ะ  เมื่อเรานำมาทำการสกัด และทำเป็นเมนู ก็ต้องใช้น้ำ และอาจผสมนม ซึ่งในอุตสาหกรรมการผลิตนมจากสัตว์นั้น ปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่เยอะมากๆเลยค่ะ  ในกาแฟ 1 แก้วที่เราดื่ม มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากมาย 

            ดังนั้นหลายคนที่เริ่มหันมาสนใจการลดโลกร้อน จึงเลือกดื่มเมนูกาแฟที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศมากขึ้น เช่น ใช้แก้วที่สามารถใช้ซ้ำได้ งดการใช้แก้วพลาสติกหรือแก้วกระดาษที่ทำให้เกิดขยะและการเผาทำลาย 

            เลือกดื่มเมนูกาแฟโดยใช้นมจากพืชมากขึ้น หรือที่เรียกว่านม Plant Based ไม่ว่าจะเป็น นมถั่วเหลือง นมอัลมอนด์ หรือนมข้าวโอ๊ต เนื่องจากกระบวนการผลิตนั้น การปลูกพืชและการผลิตนมจากพืช ใช้ปริมาณน้ำที่น้อยกว่าการเลี้ยงสัตว์และผลิตนมจากสัตว์หลายเท่า และในกระบวนการเลี้ยงสัตว์ยังมีการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศอีกมากด้วยค่ะ

            ใช้เมล็ดกาแฟที่เป็นออแกนิค หรือเมล็ดกาแฟที่ได้รับเครื่องหมายการันตีว่า เป็นกาแฟรักษ์โลก  ซึ่งเมล็ดกาแฟ Thai Espresso Roast ขนาด 500 g ของ Hillkoff ได้รับรางวัลว่าเป็นกาแฟรักษ์โลก เนื่องจากในกระบวนการผลิตนั้นปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยายในปริมาณเพียงแค่ 2.14 kg CO₂ / 500 g หรือ 4.18 kg CO₂/ 1 kg เท่านั้น ซึ่งในกระบวนการผลิตนั้นเราได้ใช้เมล็ดเชอร์รี่กาแฟให้คุ้มค่าที่สุด โดยคำนึงถึงพันธกิจเพื่อความยั่งยืน Zero Waste ขยะเป็นศูนย์ หรือกระบวนการผลิตที่ลดมลภาวะรอบด้าน คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม โดยกระบวนการผลิตกาแฟของ Hillkoff นั้นใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด

            เนื้อผลของเชอร์รี่กาแฟ ถูกคัดเกรด โดยเกรด x จะถูกนำไปทำเป็นปุ๋ย และเกรด A จะถูกนำไปผลิตเป็น ผลิตภัณฑ์ Food Supplement ที่ทางบริษัทได้ทำการร่วมมือกับนักวิจัยจนเกิดผลิตภัณฑ์นวัตกรรมต่างๆขึ้นมา

            เมือก หรือส่วนที่ห่อหุ้มกะลากาแฟจะถูกเข้าสู่กระบวนการทำปุ๋ยน้ำ 

            กะลากาแฟ จะถูกนำมาผลิตเป็นกระถางปลูก หรือเพาะกล้าไม้ ต้นไม้ขนาดเล็ก หลังจากนั้นเมื่อต้องการนำไปปลูกลงดินก็สามารถขุดปลูกทั้งกระถางได้เลยค่ะ กะลากาแฟจะถูกย่อยสลายตามธรรมชาติและกลายเป็นปุ๋ยให้ดินและต้นไม้ต่อไป

            ชาร์ปกาแฟ หรือส่วนของ Coffee Silverskin, กากกาแฟ จะถูกนำไปเข้าสู่กระบวนการผลิตแผ่นรองแก้ว ซึ่งสามารถใช้ซ้ำได้ ย่อยสลายง่าย

            เมล็ดกาแฟ จำหน่ายเป็นสาร Green Bean หรือ คั่วเป็นสินค้าต่างๆจำหน่าย

            ในผลการวิจัย และผลการวัดค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ ของ CarbonCloud พบว่า ในเมล็ดกาแฟ 1 kg ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ที่ 8.9 kg CO₂ และเมื่อนำมาเปรียบเทียบกับกาแฟ Thai Espresso Roast Hillkoff จะได้ผลดังนี้


   
            ผลการคำนวณพบว่าการเลือกใช้เมล็ดกาแฟ  Thai Espresso Roast Hillkoff สามารถช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเข้าสู่ชั้นบรรยากาศ ได้มากถึง 4.62 kg CO₂ หรือช่วยลดไปมากกว่า 50% โดยเฉลี่ยปริมาณผงกาแฟที่ใช้ทำกาแฟ 1 แก้วในปัจจุบัน จะอยู่ที่ 18 g กาแฟ 1 kg ทำ Espresso Shot ได้ 56 แก้ว ซึ่ง Espresso Shot ถือเป็นเบสในการทำเมนูกาแฟต่างๆ หากใช้กาแฟปกติทั่วไปทำ จะมีค่า Carbon Footprint อยู่ที่ 0.16 kg CO₂ แต่หากใช้ Thai Espresso Roast Hillkoff จะมีค่า Carbon Footprint อยู่แค่เพียง 0.07 kg CO₂ ค่ะ และหากนำมาทำเป็นเมนูกาแฟต่างๆ จะช่วยลดก๊าซเรือนกระจกได้ดังนี้  


   

หากทานกาแฟ วันละ 1 แก้ว ในเวลา 1 ปี จะได้ค่าค่าคาร์บอนฟุตพริ้นท์ 



เห็นไหมคะว่าหากเราเปลี่ยนใช้เมล็ดกาแฟ Thai Espresso Roast Hillkoff  สามารถช่วยการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปได้ถึงปีละ 33 kg CO₂ เลยค่ะ 

            ปัญหาที่เกิดจากก๊าซเรือนกระจกนั้น มีผลเสียตามมามากมาย ซึ่งการทำกิจกรรม หรือการใช้ชีวิตประจำวันของเรานั้นก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ดังนั้นในปัจจุบันผู้คนบางส่วนจึงเริ่มให้ความสำคัญในเรื่องนี้ และเริ่มหันมาทำกิจกรรมที่ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก หรือเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น คอกาแฟ ก็หันมาใช้แก้วที่ใช้ซ้ำได้ งดใช้แก้วกระดาษที่ก่อให้เกิดขยะ ดื่มกาแฟเมนูนมที่เป็นนมจากพืชแทนนมจากสัตว์ และสุดท้ายเลือกดื่มกาแฟ  Thai Espresso Roast ของ Hillkoff ที่ช่วยลดโลกร้อนได้ค่าาา



เรียงเรียงโดย Hillkoff Academy 


ขอบคุณข้อมูลอ้างอิงจาก
https://apps.carboncloud.com/climatehub/organizations/Benchmark_Store_Shelf
https://www.nicolebattefeld.com/post/carbon-footprint-of-coffee
https://www.omnicalculator.com/food/coffee-footprint
https://gsbooks.gs.kku.ac.th/58/the34th/pdf/PMP8.pdf
https://bettr.coffee/blogs/main/capturing-the-carbon-footprint-of-coffee-capsules



เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้ Cookies Policy