Slow Brew Coffee คือ “จุดพัก” ให้คุณได้เดินทางสู่ความเรียบง่าย และหันหลังให้กับความวุ่นวาย เพราะไม่เพียงแต่รสชาติอันนุ่มนวลของน้ำกาแฟที่สกัดมาอย่างพิถีพิถันเท่านั้น แต่ขั้นตอนการชงกาแฟสโลว์บาร์ที่ต้องใช้เวลา ก็ยิ่งทำให้กาแฟสโลว์บาร์กลายเป็นงานคราฟต์ที่ล้ำค่ามากยิ่งขึ้น
ร้านกาแฟหลายร้านเพิ่มการทำสโลว์บาร์กาแฟในเมนูของทางร้าน บางร้านตั้งเป็นร้านกาแฟสโลว์บาร์โดยเฉพาะ ขณะเดียวกันสโลว์บาร์กาแฟก็เริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนที่ชอบทำกาแฟเองที่บ้าน รวมถึงสายแคมป์อีกด้วย ทำให้มีการพัฒนาอุปกรณ์ กาแฟ Slow Brew Coffee เกิดขึ้นมาอย่างหลากหลายเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของทุกคนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับกาแฟสโลว์บาร์ (Slow Brew Coffee) ให้มากขึ้น ตลอดจน อุปกรณ์ Slow Brew ต่าง ๆ ที่จำเป็นต่อการทำกาแฟ Slow Bar
Slow Bar คือ วิธีการชงกาแฟอีกรูปแบบหนึ่งที่อาศัยการใช้กำลังคนมากกว่าการใช้เครื่องมืออัตโนมัติ โดยกาแฟแบบ Slow Bar นั้นบาริสต้าจะทำเองทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกเมล็ดกาแฟ การบดเมล็ดกาแฟ และการสกัดกาแฟ เรียกได้ว่าเป็นการชงกาแฟแบบ Hand Brewing เต็มรูปแบบ จุดที่น่าสนใจคือขั้นตอนการสกัดเอาน้ำกาแฟออกมา ถ้าเป็นร้านกาแฟหรือคาเฟ่ทั่วไปอาจใช้เครื่องเอสเพรสโซ่เป็นหลัก แต่สำหรับ สโลว์บาร์กาแฟ หรือ Slow Brew Coffee จะมีเครื่องชงกาแฟ Slow Bar โดยเฉพาะ ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการชง ขอยกตัวอย่างเป็นการชงกาแฟสโลว์บาร์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดคือ กาแฟดริป ที่จะบดเมล็ดกาแฟคั่วแล้วกรองกาแฟผ่านน้ำร้อนในดริปเปอร์ น้ำกาแฟจะถูกสกัดผ่านกระดาษกรองอย่างช้า ๆ พร้อมกลิ่นและรสชาติกาแฟเบา ๆ และนุ่มนวล ถือเป็นงานศิลปะที่ทรงคุณค่าและคุ้มค่าแก่การรอเป็นอย่างมาก
แอโรเพรส (Aeropress) คือเครื่องชงกาแฟ Slow Bar ประเภทหนึ่งมีลักษณะเป็นก้านสูบหรือกระบอกฉีดยา วิธีการชงไม่ยุ่งยาก เพียงใส่น้ำและเมล็ดกาแฟบดลงไปในกระบอก จากนั้นคนให้เข้ากันและแช่ทิ้งไว้สักพัก จากนั้นกดน้ำกาแฟออกมาจากกระบอกแอโรเพรส น้ำของกาแฟจะไหลผ่านกระดาษกรองออกมาก็ถือเป็นอันเสร็จเรียบร้อยแล้ว รสชาติของกาแฟที่ได้นั้นจะค่อนข้างเข้มข้น ชัดเจนและหนักแน่น เนื่องจากแรงดันจากการกดจะช่วยขับเอารสชาติกาแฟออกได้ค่อนข้างดี
กาแฟดริปถือเป็นการชง Coffee Slow Bar ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก วิธีชงก็ง่ายมาก เพียงเทน้ำร้อนวนลงบนกาแฟบดที่อยู่ในดริปเปอร์และกระดาษกรอง ปล่อยให้น้ำร้อนไหลผ่านกาแฟไปช้า ๆ และค่อย ๆ สกัดเอาน้ำกาแฟออกมา รสชาติที่ได้จะค่อนข้างเบา ความเข้มข้นไม่สูงเท่าแอโรเพรส แต่ได้ความธรรมชาติจากกาแฟสูง ทั้งนี้อุปกรณ์กาแฟ Slow Bar แบบกาแฟดริปนี้ยังหาง่าย และมีให้เลือกค่อนข้างหลากหลาย ไม่ตายตัวอีกด้วย คุณสามารถเข้ามาเลือกซื้อได้ง่าย ๆ จากฮิลล์คอฟฟ์ทุกสาขาหรือผ่านเว็บไซต์ Hillkoff.shop ได้เลย
เฟรนช์เพรส (French press) ใช้หลักการสกัดกาแฟด้วยการแช่น้ำร้อนในกาแฟคล้ายกับวิธีการชงกาแฟแบบแอโรเพรส เพื่อให้ได้รสชาติของกาแฟที่เข้มข้น แต่จะแตกต่างกันที่เฟรนช์เพรสจะไม่ใช้กระดาษกรองดักจับน้ำมันที่เคลือบผิวเมล็ดกาแฟ ทำให้เป็นอิมัลชันจากกาแฟบดในขณะที่ต้ม ความเข้มข้นของนี้ การชงกาแฟสโลว์บาร์ในรูปแบบนี้จึงจะเข้มมากกว่า
วิธีการชงกาแฟด้วยอุปกรณ์ Slow Bar ที่เรียกว่า “ไซฟอน (Syphon)” ใช้ระบบสูญญากาศเป็นหลักการในการสกัดกาแฟ มีโหลแก้ว 2 ใบเชื่อมกันด้วยท่อไซฟอนเพื่อทำให้น้ำไหลผ่านและเกิดไอน้ำ จนกลายเป็นแรงดันสกัดเอาน้ำกาแฟออกมา แม้จะดูซับซ้อนแต่ก็ใช้เวลาไม่นานเมื่อเทียบกับการชงกาแฟแบบ Slow Bar รูปแบบอื่น ๆ โดยจะอยู่ที่ประมาณ 3-5 นาทีเท่านั้น การชงแบบไซฟอนจะใช้น้ำที่มีอุณหภูมิสูงมากด้วยเหตุนี้รสชาติของกาแฟจึงมีความซับซ้อนมากขึ้น
การทำกาแฟสกัดเย็น (Cold Brew) คือการแช่กาแฟบดปานกลางถึงหยาบในน้ำอุณหภูมิห้องเป็นเวลา 12 ชั่วโมง เมื่อเสร็จก็นำมากรองเอากากกาแฟออก จะได้น้ำกาแฟที่มีรสชาติละมุน หวานอย่างลงตัว ทั้งนี้การสกัดเย็นยังช่วยลดความเปรี้ยวและขมจากกาแฟออกไปได้อีกด้วย แม้จะเป็นการทำสโลว์บาร์ที่ค่อนข้างใช้เวลา แต่รสชาติที่ได้ก็สมการรอคอยอย่างมาก
โมค่าพ็อต (Moka Pot) หรือหม้อต้มกาแฟ เป็นอุปกรณ์กาแฟ Slow Bar แบบตั้งเตา ใช้ความร้อนเพื่อทำให้เกิดไอน้ำเป็นแรงดันเข้าไปสกัดเมล็ดกาแฟบดจากข้างล่างขึ้นไป ด้วยวิธีการชงกาแฟแบบหม้อต้มกาแฟแรงดัน รสชาติของกาแฟมีความเข้มข้นพอดี และกลิ่นกาแฟหอมกรุ่นเป็นอย่างมาก
ความแตกต่างของร้านกาแฟ Slow Brew กับ Speed Brew ที่เห็นได้ชัดเลยคือวิธีการชงกาแฟ สำหรับ Speed Bar จะเน้นความสะดวกและความรวดเร็ว เพื่อให้ได้จำนวนผลิตปริมาณมากในเวลาอันสั้น จึงจะพบว่าร้านกาแฟ Speed Bar ส่วนใหญ่จะใช้เครื่องเอสเพรสโซ่ในการสกัดกาแฟออกมา จากนั้นค่อยนำไปผสมกับส่วนผสมอื่น ๆ เพื่อรังสรรค์เมนูกาแฟต่าง ๆ รวมแล้วจะใช้เวลา 2-5 นาทีเท่านั้น แต่ร้านกาแฟแนว Slow Bar จะชงด้วยเครื่องชงกาแฟ Slow Bar เช่น เครื่องดริปกาแฟ แอโรเพรส เฟรนช์เพรส โมค่าพ็อต เครื่องสกัดเย็น และไซฟอน ซึ่งเครื่องชงกาแฟเหล่านี้จะเน้นการใช้กำลังคน และเวลาในการสกัดกาแฟออกมาราว ๆ 10-20 นาที ทำให้คาแรคเตอร์ของรสชาติและกลิ่นของกาแฟที่ได้แตกต่างจากกาแฟ Speed Bar ทั้งนี้กลุ่มเป้าหมายก็ต่างกันด้วย เนื่องจากร้านกาแฟที่เป็นแนวสปีดบาร์นั้นเน้นความรวดเร็วเพื่อตอบสนองความต้องการที่มากและเร่งด่วนของลูกค้า ส่วนร้านกาแฟสโลว์บาร์ ลูกค้าส่วนใหญ่ที่เข้ามาจะเป็นคนที่ต้องการดื่มด่ำกับกาแฟในฐานะงานศิลปะที่ต้องใช้เวลาในการสกัดกาแฟออกมาอย่างพิถีพิถัน การเลือกร้านกาแฟขึ้นอยู่กับความชอบของคุณเองว่าคุณต้องการดื่มด่ำกาแฟในรูปแบบใด แต่ปัจจุบันเนื่องด้วยความชอบที่หลากหลายมากขึ้น ร้านกาแฟจึงต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับความหลากหลายนี้ ด้วยการเปิดเป็นร้านกาแฟแบบ Hybrid ที่จะจัดให้มีทั้ง Speed Bar และ Slow Bar ที่แยกมุมกันชัดเจน เพื่อให้ลูกค้าสามารถเลือกได้ตามความต้องการ
เครื่องชงกาแฟ Slow Brew มีให้เลือกหลากหลาย ขึ้นอยู่กับรูปแบบการสกัดกาแฟว่าเป็นแบบไหน หากชงแบบกาแฟดริป ก็จะมีตัวดริปเปอร์ และกระดาษกรองเป็นหลัก หรือหากเป็นเฟรนช์เพรส, แอโรเพรส, สกัดเย็น หรือไซฟ่อน ก็จะมีเครื่องชงกาแฟในรูปแบบนั้นโดยเฉพาะ แต่หากเป็นโมค่าพ็อต ก็จะประกอบไปด้วยชุดโมค่าพ็อต พร้อมเตาไฟฟ้า หากคุณอยากเปิดร้านกาแฟสโลว์บาร์ ต้องถามตัวเองก่อนว่าต้องการใช้อุปกรณ์กาแฟ Slow Brew แบบไหน ถนัดใช้ตัวใด และต้องการให้คาแรคเตอร์ของรสชาติกาแฟไปในทางใด หากเลือกได้แล้ว และต้องการเรียนรู้เคล็ดลับเพิ่มเติมก็มาได้เลยที่ Hillkoff.com มีบริการให้เลือกทุกรูปแบบที่คุณต้องการ
เนื่องจากการทำการแฟสโลว์บาร์ คือการแมนนวลเองในทุกขั้นตอน เช่นเดียวกับขั้นตอนการบดเมล็ดกาแฟ ดังนั้นเครื่องบดกาแฟจึงสำคัญมากสำหรับการทำ Slow Brew Coffee เพราะเป็นการเตรียมกาแฟให้พร้อมสำหรับการสกัดกาแฟ และเครื่องบดกาแฟที่นิยมในร้านกาแฟ Slow Bar ส่วนใหญ่จะเป็น เครื่องบดกาแฟมือหมุน ที่ต้องใช้กำลังคนในการบด ตามคอนเซ็ปต์ของการทำกาแฟในรูปแบบนี้ ตลอดจนสามารถปรับความละเอียดได้ตามความแรงในการหมุนบดกาแฟ
เพื่อให้ได้สัดส่วนที่สมบูรณ์แบบในการชงกาแฟสโลว์บาร์ เครื่องชั่งเมล็ดกาแฟมีส่วนสำคัญมากเช่นกัน เพราะการทำกาแฟให้มีรสชาติดี มีมาตรฐานเท่ากันทุกแก้ว จะต้องมีการชั่งตวงในอัตราส่วนที่คงที่ ส่วนใหญ่จะพบว่าร้านกาแฟจะใช้เครื่องชั่งดิจิตอลมากกว่า เนื่องจากใช้ง่ายและแม่นยำ